อาหารที่ห้ามกินคู่กันตามที่ฟอร์เวิร์ดเมลส่งต่อกันกระจายมานานหลายปีแล้ว ถึงวันนี้ก็ยังมีคนส่งต่อกันอยู่ แล้วความจริงคืออะไรกันแน่ คุณรู้หรือยัง?
เราคงเคยได้รับข้อมูลเรื่องสุขภาพที่แชร์กันมานานว่า "อาหารต่อไปนี้ห้ามกินคู่กัน" โดยอ้างว่าจะทำให้ความไม่สบายบางอย่างเกิดขึ้นกับร่างกาย ซึ่งล่าสุดมีอาหารที่ถูกจับคู่แล้วเขียนตัวโต ๆ ว่าห้ามกินพร้อมกันมากถึง 22 คู่ แล้วความจริงคืออะไรกันแน่ ข้อมูลที่ว่านั้นเชื่อถือได้แค่ไหน ต้องให้ อาจารย์เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ช่วยไขคำตอบดังที่โพสต์ในเฟซบุ๊ก Jessada Denduangboripant
โดยอาจารย์เจษฎาก็ให้ข้อมูลว่า เรื่องนี้มีมานานแล้ว ตั้งแต่เวอร์ชั่นอาหาร 10 อย่างที่ห้ามกินคู่กัน เพิ่มไปจนถึง 22 อย่างดังที่เห็นแชร์กันมาก ๆ ซึ่งอาจารย์ก็เคยโพสต์อธิบายไปแล้วก่อนหน้านี้ว่า "มั่ว" เพราะถึงจะทานคู่กันก็ไม่ได้อันตรายขนาดนั้น จึงขอโพสต์อธิบายอีกครั้ง พร้อมยกคำอธิบายของ คุณ Darth Prin เคยโพสต์ไว้ในเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ตั้งแต่เมื่อปี 2553 มาย้อนให้ดูด้วย ว่าอาหารที่ห้ามทานคู่กันนั้นเป็นเรื่องมั่วนิ่มแน่นอน ดังนี้
ไม่จริง เพราะชาวญี่ปุ่นยังทาน Choya Ume Plum Wine สาเกรสอร่อยดองลูกพลับ และไม่พบว่ามีผู้เสียชีวิตจากการทานสาเกดองลูกพลับแต่ประการใด
ไม่จริง เพราะโรคผิวหนังเกิดจากเชื้อโรค หรือเป็นจากพันธุกรรม ไม่ใช่กินอาหารแล้วจะเกิดขึ้นมาเองได้ หรือกรณีเกิดอาการทางผิวหนังที่เกิดจากการแพ้ ก็ไม่ใช่ว่าการทานหัวไช้เท้ากับเห็ดหูหนูด้วยกันแล้วจะแพ้ เพราะอาการแพ้นั้นเป็นเฉพาะคน
ไม่จริง สามารถนำเต้าหู้และน้ำผึ้งมาปรุงเป็นอาหารได้ อย่างเช่นเมนูผัดเต้าหู้ซอสน้ำผึ้งมัสตาร์ด
ไม่จริง เพราะฝ้านั้นเกิดได้จากหลายปัจจัย เช่น แสงแดด ฮอร์โมน ยา เครื่องสำอาง พันธุกรรม ทุพโภชนาการ ขณะที่มันฝรั่งกับกล้วยก็ไม่มีการทำปฏิกิริยาแน่นอน
จริงเป็นบางส่วน เพราะกล้วยและเผือกต่างเป็นแป้งทั้งคู่ จึงใช้เวลาในการย่อย อาจทำให้เกิดอาการท้องอืดจากอาหารไม่ย่อยได้ แต่ถึงเราจะไม่ทานกล้วยกับเผือก ทำเพียงแค่ดื่มน้ำมาก ๆ ก็ทำให้ท้องอืดได้เหมือนกัน สรุปคือไม่ว่าจะทานอะไรให้ทานแต่พอดี
ไม่จริง
ไม่จริง ในกระเพาะอาหารไม่สามารถเกิดนิ่วได้ เพราะในกระเพาะมีความเป็นกรดสูง จึงมีความสามารถละลายแคลเซียมได้สูงด้วย นอกจากนี้ ในทางกายภาพ กระเพาะอาหารจะมีช่องใหญ่ต่อเนื่องไปสู่ลำไส้ หากเกิดนิ่วขึ้นมา หรือกลืนเม็ดมะขามหรือเม็ดอะไรลงไป สิ่งนั้นสามารถหลุดออกมากับอุจจาระได้อย่างแน่นอน
ไม่จริง โดยนิ่วเป็นก้อนผลึกของธาตุจำพวกแคลเซียม แมกนีเซียม กรดยูริก การจะเกิดนิ่วต้องประกอบกับดื่มน้ำน้อย หรือเสียเหงื่อมาก หรือการอักเสบ นอกจากนี้การดื่มน้ำกระด้างก็ไม่ได้ทำให้เกิดนิ่วในร่างกายด้วย
ไม่จริง โรคคอพอกเกิดจากการขาดไอโอดีน หรือได้รับโอไอดีนน้อยเกินไปเป็นเวลานาน ไม่ใช่ว่าทานอาหารบางอย่างเข้าไปแล้วจะทำให้เกิดโรคคอพอกได้
ไม่จริง นี่เป็นเพียงคำแนะนำของผู้ที่มีปัญหาภาวะคอเลสเตอรอลสูง แล้วก็ไม่ใช่ว่ากินแล้วจะทำให้ท้องผูกปั๊บ หรือเส้นเลือดในสมองตีบทันที นอกจากนี้ หากใครทานแต่โปรตีน ไม่ทานใยอาหารเลย ก็ท้องผูกได้เหมือนกัน
ไม่จริงเช่นกัน เพราะนิ่วไม่ได้เกิดจากการทานอาหาร นอกจากนี้ คำว่านิ่วที่ไขสันหลังที่ว่านั้น จริง ๆ แล้วถ้าจะเรียกให้ถูกต้องคือ "โรคหินปูนเกาะที่กระดูกสันหลัง" (Osteophyte) ซึ่งเกิดขึ้นได้ในผู้สูงอายุ จากการที่ร่างกายพยายามจะค้ำจุนเนื่อเยื่อโครงสร้างที่ฉีกขาดไป และก็อาจก่อปัญหาได้ถ้าไปเกาะที่ตัวเส้นประสาท
ไม่จริง เพราะปัจจัยหนึ่งของโรคเบาหวานเกิดจากพันธุกรรรม ส่วนที่บอกว่าจะเป็นโรคไตนั้น เป็นคำมั่วที่กว้างเกินไป
ไม่จริง โดยกรดในกระเพาะอาหารมีค่า pH ประมาณ 1.6-2.5 ส่วนมะนาวมีค่า pH ประมาณ 2.4 แต่การที่ทานร่วมกับผลไม้รสเปรี้ยวแล้วจะทำให้ค่า pH มากขึ้นนั้นเป็นไปไม่ได้
ไม่จริง การดื่มเหล้าขาวกับเบียร์ไม่ได้ส่งผลให้เพิ่มโอกาสการเกิดเส้นเลือดในสมองแตกมากขนาดนั้น แต่การดื่มร่วมกัน จะเป็นการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป เกิดอันตรายต่อสุขภาพอย่างอื่นมากขึ้น
ไม่จริง เพราะอย่างชาวเกาหลีก็ทานปลากับกิมจิเป็นเรื่องธรรมดา แต่ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องการเกิดโรคมะเร็ง
ไม่จริง โรคมะเร็งเกิดจากความผิดปกติของเซลล์ และถูกกระตุ้นได้ด้วยสารที่มีการระคายเคือง หรือการระคายเคืองด้วยความร้อนเสียดสีบ่อย ๆ หรือกินของร้อนบ่อย ๆ หากจะกลัวให้กลัวเรื่องการดื่มชาร้อน ๆ จะดีกว่า
ไม่จริง น้ำตาลแดงก็คือน้ำตาลอยู่ดี เพียงแค่ไม่ได้สกัดเอาสีของวัตถุดิบออกหมดเท่านั้นเอง ดังนั้นสามารถเติมในน้ำเต้าหู้ได้ ไม่ได้ทำให้วิตามินบีที่อยู่ในเต้าหู้หายไปไหน
ไม่จริง เพราะอย่างเด็กทารกก็ดื่มนม ทานน้ำข้าว เพื่อรับสารอาหาร ถ้าหากนมมีปฏิกิริยาทำลายวิตามินบีในน้ำข้าว แล้วเด็กทารกจะโตมาได้อย่างไร
จริง ! เพราะความร้อนสามารถทำลายวิตามินได้ แต่ก็ไม่ได้ถูกทำลายจนหมด เพราะจริง ๆ ยังเหลือวิตามินอยู่อีกไม่น้อย
ไม่จริง อย่างที่บอกไว้ก่อนหน้าแล้วว่า เบาหวานเกิดได้จากพันธุกรรม ขณะที่หัวไช้เท้าจริง ๆ แล้วเป็นพืชที่มีสรรพคุณช่วยโด๊ปด้วยซ้ำ ไม่ได้ทำให้เชื้ออสุจิไม่แข็งแรง ดังนั้นข้อมูลนี้จึงมั่ว
ไม่จริง เพียงแค่ทานด้วยกันแล้วไม่อร่อย เพราะหวานเกินไป แค่ในมังคุดก็มีน้ำตาลอยู่มากแล้ว
ข้อมูลเรื่องทุเรียนกับน้ำอัดลมยังไม่มีคำยืนยันแน่ชัด แต่หากเป็นเรื่องห้ามกินทุเรียนกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ข้อนี้เป็นจริง โดยกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เคยให้ข้อมูลว่า ไม่ควรทาน 2 อย่างนี้ร่วมกัน เพราะทุเรียนมีไขมันสูง คาร์โบไฮเดรตสูง ส่วนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็ให้พลังงานสูง เมื่อกินทุเรียนร่วมกับดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์จึงทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้มีการย่อยสลายน้ำตาลที่เนื้อเยื่อต่าง ๆ ที่กล้ามเนื้อและไขมันเพื่อนำไปเปลี่ยนเป็นไขมันและไกลโคเจนเก็บไว้ที่ตับ ทำให้ร่างกายเกิดความร้อนสูงมากกว่าปกติ
ผลที่เกิดตามมาคือการย่อยสลายทุเรียนและแอลกอฮอล์จะให้ความร้อนและเป็นกลไกที่ต้องใช้น้ำ และจะทำให้คนกลุ่มนี้มีน้ำตาลในเลือดสูง น้ำตาลจะดึงน้ำออกมาเพื่อขับออกจากร่างกายในรูปปัสสาวะ คนปกติขาดน้ำจะมีปัสสาวะข้นและน้อย แต่กลุ่มที่กินทุเรียนร่วมกับดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์นี้จะปัสสาวะมากแม้ว่าร่างกายจะขาดน้ำ
เมื่อกินทุเรียนกับแอลกอฮอล์เข้าไปแล้วจะรู้สึกตัวร้อนไม่สบายตัว แต่ถ้ากินมากแล้วเมาหลับไปร่างกายจะขาดน้ำอย่างรุนแรง เมื่อถึงจุดหนึ่งสมองจะเสียน้ำมาก ระดับเกลือแร่ในร่างกายผิดปกติ สมองทำงานไม่ดีการเกิดอาการไม่พึงประสงค์ เช่น อาการหน้าร้อนวูบวาบ สั่น ง่วงซึม อาเจียน คลื่นไส้ หากหมดสติและนำส่งโรงพยาบาลไม่ได้ทันอาจเสียชีวิตได้
นอกจากนี้ ไม่ควรกินทุเรียนคู่กับลำไย เพราะในลำไยมีปริมาณน้ำตาลค่อนข้างสูงและด้วยความที่มีน้ำตาลมากจึงให้พลังงานมากขึ้นด้วย เมื่อกินมากเกินไปจึงทำให้เกิดอาการร้อนในได้
สรุปได้ว่าทั้ง 22 ข้อนี้ มีข้อที่เป็นความจริงอยู่น้อยมาก เช่นนั้นแล้วเมื่อรับข้อความใด ๆ จากทางโซเชียล ก็คงต้องตรวจสอบให้ถี่ถ้วนก่อนเชื่อถือ ยิ่งเป็นเรื่องสุขภาพยิ่งต้องระมัดระวังเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
- คุณ Darth Prin สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
- เฟซบุ๊ก Jessada Denduangboripant
Source: http://health.kapook.com/view118972.html
Tag :
Hot


0 Comment "อาหาร 22 อย่างที่ห้ามกินคู่กัน สรุปอีกครั้ง ชัวร์หรือมั่วกันแน่"